วาลิด เรกากู ทำทีม โมร็อกโก ให้กลับมาน่ากลัวอีกครั้งในปีนี้ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมชนะ 2 เสมอ 1 ในรอบแบ่งกลุ่ม ก่อนจะมาโค่น สเปน ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งนักเตะหลายคนในทีมชุดนี้ส่วนใหญ่ก็ค้าแข้งในลีกยักษ์ใหญ่ของยุโรปทั้งสิ้น โดยก่อนเกมมีรายงานว่า นาเยฟ อาเกิร์ด ปราการหลังตัวเก่งจาก เวสต์แฮม มีอาการบาดเจ็บบริเวณต้นขา ยังคงต้องลุ้นว่าจะกลับมาฟิตทันลงสนามหรือไม่อีกครั้ง
ด้านทีมของ เฟอร์นันโด ซานโตส จะไม่สามารถเรียกใช้งาน นูโน เมนเดส และ ดานิโล เปเรย์รา สองแข้งจาก ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในเกมนี้แน่นอนแล้วเนื่องจากมีปัญหาอาการบาดเจ็บหนักอยู่ทั้งหมด โดยคาดว่า กอนซาโล รามอส หัวหอกดาวรุ่งจะยังคงได้ลงสนามเป็นตัวจริงและดร็อป คริสเตียโน โรนัลโด้ เป็นตัวสำรองเหมือนในเกมก่อน
โปรตุเกส ผลงานน่ากลัวสุด ๆ ในรอบที่ผ่านมาด้วยการระเบิดฟอร์มเก่งถล่ม สวิตเซอร์แลนด์ ขาดลอย 6-1 พร้อมกับการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ กอนซาโล รามอส ดาวยิงวัย 21 ปีจาก เบนฟิก้า ซึ่งก็น่าจะได้รับโอกาสต่อเนื่องในเกมนี้ นั่นหมายความว่าสตาร์อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด้ อาจจะต้องประจำการอยู่บนม้านั่งอีกหนึ่งเกม ขณะที่ โมร็อกโก ที่ชัดเจนแล้วว่าพวกเขามาถึงรอบนี้ได้ไม่ใช่ว่าฟลุ๊คหรือแค่โชคดีเพราะพวกเขามาแบบมีแผนการและเล่นได้อย่างมีระเบียบวินัย เช่นเดียวกับเกมนี้ที่พวกเขาจะยังคงเล่นแบบ “ตีหัวเข้าบ้าน” อุดหลังบ้านแบบเอารถบัสมาจอดขวาง 2 คันพร้อมหาโอกาสในการสวนกลับ ซึ่ง โปรตุเกส เองก็จำเป็นต้องหาทางทำลายแนวรับอันแข็งแกร่งนี้ให้ได้ เพราะดูจากทรงแล้ว โมร็อกโก เองก็คงไม่เร่งเกมและพร้อมจะยื้อไปถึงต่อเวลา แถมเมื่อการดวลจุดโทษเริ่มต้นความได้เปรียบของ โปรตุเกส ก็จะหมดไปและเหลือแต่เพียงคนที่นิ่งกว่าเท่านั้นจึงจะเข้ารอบ ซึ่ง โมร็อกโก แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาเฉียบขาดแค่ไหนในรอบที่ผ่านมา